แผนของ MLM : Multi-Level Marketing


หน้าแรก แผนของ MLM : Multi-Level Marketing
แผน การตลาดแบบหลายชั้น (Multi-Level Marketing)

ระบบการตลาดแบบนี้นับ เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะเปิดโอกาสผู้ร่วมธุรกิจทุกคนสามารถชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจได้ และนับรวมผลงานของเขาเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้เพื่อรับผลตอบ แทนที่มากขึ้น โดยผู้ร่วมธุรกิจทุกคนจะไปเริ่มทำคุณสมบัติจากระดับเดียวกัน ได้ผลประโยชน์เหมือนๆกัน และค่อยๆเลื่อนระดับสูงขึ้นตามผลงานของตนเองและทีมงาน และยังสามารถมีคุณสมบัติแซงผู้ที่ชักชวนตนเองเข้ามาได้อีกด้วย เนื่องจาก ระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้ เปิดโอกาสตัวแทนหรือผู้ร่วมธุรกิจสามาระชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจ และนับรวมผลงานเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้ และสมาชิกทุกคนที่เข้ามาร่วมธุรกิจก็ได้รับโอกาสให้ชักชวนผู้อื่นเพื่อเข้า มาร่วมธุรกิจในองค์กรและรับผลประโยชน์ได้เหมือนๆกัน ตรงนี้แหละครับที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของระบบ จึงเป็นที่มาของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่รวด เร็วและประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาการพัฒนาการของระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้มีอย่างต่อเนื่องจนสามารถแยก ออกไปตามโครงสร้างหลักได้อีกหลายแบบดังนี้ครับ

รับทำเว็บ  webUB.com



แผน การตลาดแบบชั้นเดียว (Single Level Marketing)
ระบบ นี้เป็นระบบที่มีมาดั้งเดิมครับ หลักการก็คือราคาทุนจะถูกบวกด้วยค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่แต่ละระดับชั้น เพื่อให้ได้ราคาขายของสินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยมากแผนระบบนี้เน้นความมั่นคงและเหมาะกับสินค้าที่ราคาสูงๆ และเนื่องจากการจ่ายโบนัสจำนวนไม่มากนักจึงมักจ่ายโบนัสเป็นรายเดือนข้อ สังเกตของแผนระบบนี้คือ
ไม่สนับสนุนให้เกิดการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมทำธุรกิจ เนื่องจากจำนวนชั้นของการปันผลมีจำกัดโดยมากการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วม ธุรกิจจึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปเท่านั้น
โอกาสในการเจริญก้าวหน้าหรือการ เลื่อนตำแหน่ง เป็นไปได้ยาก
การเรียน รู้ง่าย อธิบายไม่ยาก ขั้นตอนการคำนวณไม่ซับซ้อน
ผู้ร่วมธุรกิจ/ตัวแทนสามารถทราบ จำนวนชัดเจนของ ผลตอบแทนที่จะได้รับตั้งแต่ลูกค้าสั่งซื้อ



Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
แผน ระบบนี้จัดเป็นระบบดั้งเดิมในระบบการตลาดแบบหลายชั้นครับ โดยแต่ละระดับชั้นจะมีการกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ (ขอใช้คำทับศัพท์แทนคำว่าอัตราส่วนนะครับ) ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าระดับสูงขึ้นไปจะกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับระบบนี้ระดับยิ่งสูงก็จะได้เปอร์เซ็นต์เยอะกว่าระดับที่ต่ำกว่าครับ เวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณจ่ายจากส่วนต่างของแต่ละระดับชั้น คล้ายๆกับว่าผู้อยู่ในระดับสูงมีหน้าที่รับผลตอบแทนของกลุ่ม (ของตนเอง+ของทีมงาน) มาจากบริษัท แล้วตัดจ่ายส่วนของทีมงานระดับล่างให้เขาไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง แต่ในปัจจุบันเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงิน บริษัทมักเป็นผู้คำนวณและจ่ายโบนัสให้ ดังนั้นโบนัสที่ได้รับจึงเป็นโบนัสที่หักส่วนของทีมงานออกแล้ว ข้อสังเกตของระบบนี้คือ


Brake Away - ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
ระบบนี้พัฒนาเพื่อแก้ ปัญหาเรื่องทีมงานเติบโตเป็นระดับเดียวกันกับตนเองแล้วทำให้ผู้นำขาดรายได้ ของระบบ Stair Step ซึ่งแก้โดยเมื่อพบว่าผลงานใต้องค์กรเติบโตขึ้นจนตำแหน่งชนกัน ก็จะยกคะแนนที่เกิดจากสมาชิกคนนั้นออกจากองค์กรเพื่อไม่ให้คำนวณซ้ำซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบเช่นมองเป็น Level เพื่อเป็นรายได้ชดเชย อย่างไรก็ตามระบบหลักๆก็เป็นแบบ Stair Step อยู่ดีครับ ซึ่งบางคนก็เรียกกันติดปากว่าระบบ Stair Step - Brake Away รวมกันจนแยกกันไม่ออก



Matrix - ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
ระบบนี้ก็ พัฒนาจากระบบ Stair Step อีกเช่นกันครับ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้นำมีการขยายตลาดด้วยการแนะนำผู้อื่นเข้าร่วมธุรกิจมาก ขึ้น (อาจเรียกว่าขยายแนวกว้าง) โดยการจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก แนะนำมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น จะเห็นว่าแนวกว้างและแนวลึกมีความสัมพันธ์กัน เหมือน Matrix นั่นเองครับ เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงหรืออาจมองว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในระบบ Stair Step


Uni-Level - มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
ระบบนี้ให้ ผลตอบแทนตาม ชั้นลึก โดยกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามา ร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และลึกกี่ชั้น แต่ด้วยการตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ ส่วนลดผลประโยชน์ที่ได้รับจึงมักมีการแกว่งตัว ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือ


Binary และ Tri-nary - แผนจับคู่
ระบบ Binary เป็นระบบ Balance คะแนน โดยอาจบังคับโครงสร้างให้เป็น หนึ่งแตกสอง คือผู้นำหนึ่งรายสามารถมีสมาชิกติดตัวในองค์กรเพียง 2 สาย (มักเรียกว่าขาซ้ายและขาขวา) แต่จะลึกลงไปกี่ชั้นก็ได้เรียกว่า Infinity ชั้นกันเลยครับ หากมียอดคะแนนมาจากทั้งสองขา Balance กันหรือจับคู่กันได้ก็จะจ่ายโบนัสให้ทันที ส่วนแผน Tri-nary นั้นผู้คิดค้นและนิยามศัพท์ก็คือนักออกแบบแผนการตลาดคนไทย คุณกัมปนาท บุญราศรี ครับ (คำว่า Tri ก็ล้อมาจาก ไตร ที่แปลว่า สาม นั่นเองครับ) แผนการตลาดระบบนี้ออกแบบเป็น 3 สายงานเพื่อแก้ปัญหาในการทำงานของระบบ Binary ที่ผู้นำขยายงานเป็น 2 สายแล้วเกิดยางแตก สายใดสายหนึ่งยอดสะดุดขึ้นมาก็จะขาดรายได้ จึงมีขาที่สามเป็นตัวยางอะหลั่ย โดยออกแบบวิธีการเฉพาะในการ Balance ของ Tri-nary เพิ่มเติม และบริษัทฯที่ใช้ระบบนี้ก็สร้างความความสำเร็จมากมายจนเกิดความนิยมในเทคนิค นี้ไปใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศเลยทีเดียว ทั้งระบบ Binary และ Tri-nary ได้มีการพัฒนาปรับใช้เทคนิคกันไปได้หลายแนวทางครับทั้ง Balance คะแนน และไม่ต้อง Balance คะแนน , บังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง , สะสมยอด และไม่สะสมยอด , รวมถึงการ UpGrade หรือ TopUp คือจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น และมี Matching ซึ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากความสำเร็จของทีมงาน คือมีผลตอบแทนคำนวณจากผลตอบแทนที่ทีมงานได้รับ


Party Plan - แผนลูกผสม
เป็นการนำ ระบบต่างๆ มาดัดแปลงใช้กันตามจินตนาการและความเข้าใจ ของผู้ออกแบบแผนการตลาด โดยมากพบว่าหากดัดแปลงกันไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว แผนการตลาดที่ได้จะอธิบายและทำความเข้าใจได้ยาก และคนทำงานตามไม่ทัน เมื่อคนไม่เข้าใจก็ขยายไม่ออกหรือทำงานช้านั่นเองครับ หลายๆแผนออกแบบก็เพื่อมาแก้ปัญหาระบบเดิม แต่ก็ควรทดสอบด้วยว่าจะสร้างปัญหาใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้อดีก็คือ เทคนิคดีๆของแผนการตลาดก็มาจากแผนแนวนี้ครับ เช่น เทคนิค RollUp เป็นต้น แต่แหม!! ขอแซวหน่อยครับ หลายครั้งที่พบว่าชื่อแปลกๆบางครั้งก็นำมาใช้เรียกเพียงเพื่อสร้างความน่า สนใจแต่ไม่มีอะไรแตกต่างเลยก็มีเยอะครับ เช่น PowerMatch , CycleRing , MegaComplex

ขึ้นไปด้านบน